
ตึกแฝดเปโตรนาส (Petronas Twin Towers) มีความสูงถึง 451.9 เมตร และมีจำนวนชั้นมากถึง 88 ชั้น (เลขสวยซะด้วย) ที่สะพานเชื่อม (Skybridge) ระหว่าง 2 ตึกจะอยู่ที่ชั้นที่ 41แต่ก่อนเปิดให้เข้าชมที่สะพานเชื่อมระหว่าง 2 ตึกได้ฟรี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ผู้เข้าชมการแทงบอลจะต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ RM 3 (Basic Skybridge ) หรือจ่าย RM 350 (Premium package)จะได้ไปชมที่ชั้นสูงสุง และได้ไปทานข้าวใน Malaysian Petroleum Club (MPC) ในอาคาร 2
อดีตตึกนี้เคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกแต่ตอนนี้เจอแย่งชิงอันดับ ไปอยู่ที่ 3-4 แล้วครับ เป็นรองจากอาคารเซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์เมืองเซี่ยงไฮ้ และอาคารไทเป101 ประเทศไต้หวัน
ตอนกลางคืนจะเปิดไฟรอบตัวตึก สวยงามมาก มีคนมาถ่ายรูปตึกเยอะพอสมควรเลยครับ นั่งถ่ายรูปได้ซักพักก็มีเด็กวัยรุ่นของมาเลเซียเป็นผู้หญิงมาขอบริจาคเงินซื้อรถเข็นให้กับผู้พิการ ถ้าใครไม่อยากถูกตื้อก็ปฎิเสธไปตั้งแต่แรกเลยก็ได้ครับ ยิ่งฟังนาน เค้ายิ่งตื้อจนได้ พอให้คนแรกไปได้ซักพัก คนที่สองตามมาครับ เลยต้องโบกมือไม่ๆๆ
ถ่ายรูปจนหนำใจแล้วก็เข้าไปแทงบอลเล่นในห้าง Suria เป็นห้างที่ค่อนข้างใหญ่ ในนี้มี Food cort ด้วยครับ เราฝากท้องมื้อเย็นไว้ที่นี่ อาหารจานเดียวจะแพงกว่าบ้านเรานิดหน่อยครับ อย่างข้าวมันไก่ตกจานละ RM 5.5 (ประมาณ 55 บาท) น้ำเปล่าขวดละ RM 1.3 (ประมาณ 13 บาท)

ราคาของที่ขายในห้างก็พอๆ กับบ้านเราแหล่ะครับ เลยไม่รู้จะซื้อกลับไปทำไม เหลือบดูนาฬิกาประมาณ 2 ทุ่มแล้วละ รู้สึกเหนื่อยกับการเดินทาง เลยกลับที่พักที่ Hotel Sentral ไว้วันรุ่งขึ้นมาเที่ยวต่อ
คืนแรกนอนไม่ค่อยหลับเลยครับเหมือนแปลกที่แปลกเวลายังไงไม่รู้ สุดท้ายก็เผลอแทงบอลไปตอนหลังเที่ยงคืน ตื่นเช้าก็รีบทำธุระแล้วลงมาทานอาหาร Buffet ของทางโรงแรม ค่อนข้างผิดหวังกับอาหาร แทบไม่มีอะไรที่เราทานได้เลย นอกจากไข่และขนมปัง อาหารหนักไปทางอาหารของคนมาเลเซีย พวกแกงกระหรี่ ประมาณนั้น
จริงๆ แล้วน่าจะมีไส้กรอก แฮม ไข่ดาว สลัดให้คนต่างชาติทานได้ด้วย

เลยไปปิ้งขนมปังกินดีกว่า พ่อครัวที่ Egg Counter เห็นเราเอ๋อๆ เลยเดินยิ้มมากดเครื่องปิ้ง และตั้งเวลาให้ และแล้วพี่แกก็ทำขนมปังไหม้ครับ เค้าเอาขนมปังที่ไหม้มาโชว์ให้เราดูว่ามันไหม้ แล้วก็ปิ้งให้ใหม่ แกอารมณ์ดีมากครับพ่อครัวคนนี้
จริงๆแล้วเค้าประจำอยู่ที่ Egg Counter ผมเลยลองแทงบอลเค้าหน่อย รู้สึกว่าเค้ามี service mind ดีมาก ยิ้มแย้มตลอด เลยขอถ่ายรูปเค้าไว้หน่อย ตอนไปขอถ่ายรูปเค้าก็ตกใจครับ นึกว่าเราพูดผิดว่าให้เค้าถ่ายรูปให้เรา สุดท้ายก็ยินยอมแต่โดยดี แล้วก็ถามว่าเรามาจากไหน ก็ตอบไปว่ามาจาก Thailand ผมรู้สึกว่าคนมาเลเซียส่วนใหญ่เป็นมิตรกับเราครับ เห็นบางคนหน้าดุแต่อัธยาศัยดีครับ


เมนูสิ้นคิด ในมื้อเช้าของเรา ด้านซ้ายเหมือนจะเป็นถั่วเหลืองในน้ำอะไรซักอย่าง
ทานข้าวเสร็จเราก็พร้อมลุยกันต่อ วันนี้เราไปใกล้ๆ แค่ 2 สถานีรถไฟฟ้า มี มัสยิดจาเมค (Musjid Jamek), จัตุรัสเมอร์เดก้า (Dataram Merdaka), อาคารสุลต่าน อับดุล ซาหมัด, อาคารรอยัง เซอลังงอร์ เหมือนไปหลายที่เลยใช่ไหมครับ จริงๆ แล้วมันอยู่ติดๆ กันหมด

หอคอยเคแอล (KL Tower) มองเห็นได้ชัดจาก KL Sentral เป็นหอคมนาคมที่สูงอันดับสี่ของโลก สูงถึง 421 เมตร สามารถขึ้นไปแทงบอลด้านบนได้ ค่าขึ้นไปชมคนละ RM 20
เราไปขึ้นรถไฟฟ้าที่ KL Sentral เหมือนเดิม ไปลงที่สถานี Masjid Jamek ระยะทาง 2 สถานี ค่ารถไฟฟ้า RM 1.3 (ประมาณ 13 บาท) ค่ารถไฟฟ้าถูกโครตๆ เลยละครับ ลองกรุงเทพฯ มีรถไฟฟ้าครอบคลุมทุกพื้นที่ แล้วค่ารถเท่านี้นะ ผมว่ารถจะติดน้อยลงอย่างแน่นอน

ออกจากสถานี Masjid Jamek ก็เจอกับ มัสยิดจาเมคเลย เราไม่สามารถเข้าไปด้านในได้นะครับ ต้องถ่ายรูปจากด้านนอกเอา
มัสยิดจาเมค ตั้งอยู่ที่จุดรวมของแม่น้ำกอมบักและแม่น้ำคลาง เป็นมัสยิสที่เก่าแก่มากครับ สร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1909 รูปแบบสถาปัตยกรรมลอกเลียนมาจากมัสยิดในอินเดียภาคเหนือ ในอดีตเคยเป็นมัสยิดที่เป็นศูนย์กลางสำคัญที่สุดของการแทงบอล จนกระทั่งมีการสร้างมัสยิดแห่งชาติในปี ค.ศ. 1965
แม่น้ำมีกลิ่นเหม็นเล็กน้อยครับ ไม่ใช่น้ำสะอาด
อาคารที่ทำการไปรษณีย์เก่า อยู่ติดกับตึกสุลต่านอับดุลซามัด
จากชื่อป้ายแปลโดยใช้ Google translate แปลว่ากระทรวงการสื่อสารข้อมูลและวัฒนธรรมมาเลเซีย
สนามหญ้าที่เห็นในรูปด้านบนคือ จัตุรัสเมอร์เดก้า (ชื่อเต็ม ดาตารันเมอร์เดก้า) เป็นสถานที่แสดงความเป็นเอกราชของมาเลเซีย ไม่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษอีกต่อไป ธงชาติอังกฤษได้ถูกชักลงเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1957 ปัจจุบันจัตุรัสเมอร์เดก้ายังคงเป็นสถานที่สำคัญที่ใช้ในพิธีสวนสนามของตำรวจและการแข่งกีฬาคริกเกต ดูๆ ไปแล้วคล้ายๆกับย่านสนามหลวงบ้านเราเลยครับ
ส่วนหลังคาแดงที่เห็นในรูปด้านบน เป็น สโมสรรอโยเซอรลังงอร์ เป็นอาคารไม้หลังเล็ก เป็นคลับของคนเล่นคริเก็ต อาคารนี้ถูกสร้างใหม่ถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกสร้างในปี ค.ศ. 1884 ต่อมาถูกรื้อออกเพื่อขยายให้ใหญ่ขึ้น ครั้งที่สอง สร้างในปี ค.ศ. 1910 ออกแบบโดย สถาปนิก เอบีฮับแบ็ค ในสมัยอาณานิคม คลับแห่งนี้มีชื่อเล่นว่า “เดอะสปอตเตดด็อก” คาดว่าชื่อนี้มาจากสุนัขดัลมาเชียล ลายจุดของผู้บังคับการตำรวจที่พามาที่คลับเป็นประจำ
ต่อมาถูกไฟไหม้ จึงมีการสร้างเป็นครั้งที่ 3 ใน ค.ศ 1979 ออกแบบโดยสถาปนิกฟงยิงรีออง หน้าตาตามที่เห็นในรูปครับ
ส่วนเสาธงต้นนี้ อดีตเคยเป็นเสาธงที่สูงที่สุดในโลก รู้สึกว่ามาเลเซียก็ชอบอะไรที่เป็นที่สุดในโลกเหมือนกัน เสียดายว่าตอนที่ไปเหมือนไม่ค่อยมีลม ธงชาติเลยไม่กางออก
ระหว่างที่กำลังชมความงามของสถาปัตยกรรมในยุคที่มาเลเซียเป็นอาณานิคม ก็เห็นกรุ๊ปทัวร์มาลง มีกรุ๊ปของคนไทยด้วยครับ เป็นเรื่องที่น่าดีใจที่ได้เจอคนไทยด้วยกันในต่างแดน
ที่ฝั่งตรงข้ามจัตุรัสเมอร์เดก้า จะเป็นตึกสุลต่านอับดุลซามัด เป็นหนึ่งในอาคารประวัติศาสตร์ อาคารแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1897 ตั้งชื่อตามพระนามขององค์สุลต่านผู้ปกครองรัฐ และเป็นที่ตั้งของหน่วนงานรัฐบาลในสมัยที่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
รูปแบบของอาคารเป็นแบบมาโฮเม็ตหรือซาราเซ็นสมัยใหม่ ตัวอาคารสร้างด้วยอิฐที่มีขนาดใหญ่สุดในสมัยนั้น ปัจจุบันอาคารแห่งนี้เป็นที่ตั้งของศาลฎีกาและพิพิธภัณฑ์สิ่งทอ
ชมความงามเสร็จแล้ว เราจะพาท่านไปยังแหล่งซื้อของฝากที่ Central Market
เราจะต้องนั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานีถัดไปครับ Pasar Seni
ระยะทาง 1 สถานีเสียค่ารถไฟฟ้า RM 1 ออกจากสถานี Pasar Seni แล้วแต่ยังไม่รู้ทางไป Central Market เลยไปถามคนกวาดถนน เค้าก็บอกทางไป ใกล้มากครับ ลงจากรถไฟฟ้าเดินไปอีก 2 นาที
คนมาเลเซียเค้ารู้ภาษาอังกฤษอยู่ในขั้นดีเลยครับ เท่าที่ผมถามทางมา สื่อสารได้เข้าใจกันทุกคน แม้แต่คนกวาดถนนก็พูดได้ แล้วมีน้ำใจดีด้วยครับ บอกให้อย่างละเอียด สำเนียงเค้าคล้ายๆ กับเราเนี่ยแหล่ะครับ ฟังไม่ยากหรอก
สงสัยเราจะมาเช้าไปหน่อย Central Market เปิดตอน 10 โมงเช้าครับ บรรยากาศไม่ค่อยจะคึกคักเท่าไหร่ ร้านค้ายังเปิดไม่หมด
Central Market ก่อสร้างในปี ค.ศ. 1988 เดิมทีเป็นตลาดสด ขายอาหารทะเล, เนื้อ, ผัก และสินค้าทั่วไป มีการปรับปรุงตลาดแห่งนี้หลายครั้ง จนกลายเป็นที่ขายสินค้า งานหัตถกรรม ภาพวาด พวงกุญแจ ของที่ระลึก ในวันศุกร์ - เสาร์ 20.00 น. จะมีการแสดงทางวัฒนธรรมของมาเลเซีย และมีการแสดงละครในวันอาทิตย์ เวลา 15.00 น.
เราหมดเงินไปกับร้าน Choc Boutique เยอะที่สุดครับ เกือบ RM 200 เป็นของฝากกลับบ้าน จะเน้นพวกชอกโกแลตแล้วก็ขนม ราคาเหมือนจะถูกกว่าเรานิดหน่อย
ดูเหมือนว่าผมจะหมดเวลาเที่ยวในกัวลาลัมเปอร์แล้ว ต้องรีบกลับโรงแรมไปเช็คเอ้าต์ แล้วไปรอขึ้นรถไปเกนติ้งที่ KL Sentral
หลังจากเช็คเอ้าท์เสร็จยังมีเวลาเหลือ เลยไปหาข้าวกลางวันกิน มื้อนี้อยากกินข้าวที่เป็นแนวคล้ายๆ อาหารไทย เห็นร้านข้าวราดแกงร้านนึงใกล้ กับ Old town White coffee เป็นร้านข้าวแกงอาหารจีน ให้ตักเอาเอง จานนี้ RM 3.5 ราคาพอๆ กับบ้านเราเลย
มาอยู่มาเลเซียได้สองวันผมรู้สึกว่าคนมาเลเซียสูบบุหรี่กันเยอะมาก และสูบได้ทุกที่ แม้แต่ในร้านอาหาร ในส่วนนี้ผมว่าประเทศไทยเราดีกว่าครับมีการควบคุมพื้นที่สูบบุหรี่ ราคาบุหรี่บ้านเค้าเหมือนจะแพงกว่าบ้านเรา (เดาๆ เอานะครับ ผมไม่ได้สูบบุหรี) อย่าง Marlboro ใน 7-eleven ตกซองละ RM 10 (ประมาณ 100 บาท)
ส่วนราคาเบียร์ก็แพงมากครับ ไฮนาเก้นขวดใหญ่อยู่ที่ RM 16.5 (ประมาณ 165 บาท) น่าจะพอๆ กับสิงคโปร์ รู้สึกว่าเค้าจะไม่จำกัดเวลาซื้อเบียร์ด้วย เพราะคนส่วนใหญ่ของมาเลเซียเค้าเป็นมุสลิมไม่ดื่มสุราอยู่แล้วครับ เอามาเล่าให้ฟังเพื่อเป็นความรู้นะครับ ไม่ได้สนับสนุนให้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล
ตอนหน้าผมจะพาไปเที่ยวต่อยัง เกนติ้ง ไฮแลนด์ (Genting Highland) สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต ของมาเลเซีย….ไว้ติดตามชมกันต่อนะครับ
Tag : sss photoshop